จริงเท็จแค่ไหน ! วิเคราะห์ 4 เหตุผลทำ ลิเวอร์พูล แพ้ บาร์ซ่า หลังจากความพ่ายแพ้ชนิดแทบหมดลุ้นเข้ารอบชิงชนะเลิศ ของ ลิเวอร์พูล ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับการตัดสินใจของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เพราะการเลือกตัวผู้เล่น และระบบการเล่นที่ผิดพลาดมีส่วนต่อความปราชัยในเกมนี้ ไม่ต่างอะไรกับฟอร์มของตัวผู้เล่นหลักที่ฟอร์มไม่เข้าฝัก แน่นอนว่าความยอดเยี่ยมของนักเตะบาร์เซโลน่า โดยเฉพาะ ลิโอเนล เมสซี่ เป็นกุญแจสำคัญในแมตช์ดังกล่าว แต่การนักเตะคนสำคัญในเกมรับอย่าง เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ที่เล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐานระดับโลก และแนวรุกที่ขาดความเฉียบคม ส่งผลกระทบกับทีมเยอะมาก
ขณะเดียวกัน คล็อปป์ ก็ต้องมีส่วนกับเรื่องนี้ เพราะหากเขาไม่เปลี่ยนแนวคิด โดยกล้าได้กล้าเสียในการเล่นเกมบุกด้วยระบบที่คุ้นเคยอย่าง 4-3-3 และส่ง เซอร์ดาน ชากีรี่ ลงเล่นมากกว่าใช้งาน จอร์จินโญ่ ไวจ์นัลดุม ไม่แน่ว่าผลการแข่งขันอาจจะออกมาแตกต่างจากนี้ หรืออาจจะเละกว่านี้ก็ได้ แต่อย่างน้อยก็ได้ขู่เกมรับของ บาร์ซ่า ให้ปั่นป่วนได้แน่นอน
1. ฟาน ไดค์ ฟอร์มต่ำกว่ามาตรฐาน
ต้องยอมรับว่าฟอร์มการเล่นที่น่าผิดหวังของ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ปราการหลังชาวดัตช์ น่าจะเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ลิเวอร์พูล ออกไปแพ้ยับไม่นับญาติต่อ "เจ้าบุญทุ่ม" บาร์เซโลน่า เพราะหาก ฟาน ไดค์ เล่นได้ตามมาตรฐานของเขาไม่มีทางที่ทีมจะเจองานหนักในการรับเกมรุกเจ้าถิ่น
เซนเตอร์แบ็กทีมชาติฮอลแลนด์ ซึ่งเพิ่งจะได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปี 2019 ของพีเอฟเอ เล่นได้ต่างจากที่เขาทำเอาไว้ในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อค่ำคืนวันพุธที่ผ่านมาในสนามคัมป์ นู เพราะเจ้าตัวไม่สาสามารถรับมือกับ ลิโอเนล เมสซี่ ได้เลย
มองแบบเป็นกลางนักเตะอย่าง เมสซี่ คงยากที่กองหลังทั่วโลกจะต้านทานเขาได้ในวันที่ท็อปฟอร์ม แต่กับ ฟาน ไดค์ ที่ได้รับการเชิดชูเหลือเกินว่าเป็นกองหลังที่แกร่งที่สุดในโลก เขาควรจะจัดการ ดาวเตะชาวอาร์เจนไตน์ ได้อยู่หมัดกว่านี้ ไม่ใช่ปล่อย เมสซี่ มีอิสระลากบอลทะลุเข้าไปในเขตโทษเป็นว่าเล่น
ขณะเดียวกันในจังหวะที่เสียประตูแรก ฟาน ไดค์ ก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบ เพราะปล่อยมีพื้นที่ว่างระหว่างเขากับ โฌแอล มาติป ทำให้ หลุยส์ ซัวเรซ ซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าพอดี แต่ปราการหลังชาวดัตช์กลับยืนนิ่งๆ ไม่ยอมตามไปปิดช่องยิงของ ซัวเรซ ทำให้ ดาวยิงอุรุกวัย วิ่งสอดเข้ามายิงประตูได้อย่างง่ายดาย
ฉะนั้นในเกม 2 ที่สนามแอนฟิลด์ อดีตดาวเตะเซาธ์แฮมป์ตัน จะต้องดวลกับแนวรุกของ บาร์เซโลน่า และ เมสซี่ อีกครั้ง โดยงานนี้สาวก "เดอะ ค็อป" คงคาดหวังว่า ฟาน ไดค์ จะทำผลงานได้ดีกว่า ไม่งั้นคงยากที่ ลิเวอร์พูล จะพลิกนรกเข้าสู่รอบชิงฯ 2 ซีซั่นติดต่อกัน
2. มาเน่ ไร้ประสิทธิภาพ
ซาดิโอ มาเน่ กำลังอยู่ในช่วงฟอร์มฮอตยิงระเบิดเถิดเทิงให้กับ ลิเวอร์พูล ในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เป็นว่าเล่นในช่วงที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่าผลงานชั้นยอดของเขาจะโดนเกมรับ บาร์ซ่า จัดการอยู่หมัด จนแทบไม่มีโอกาสได้เฉิดฉายในคัมป์ นู
คล็อปป์ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเชื่อมั่นในตัว ดาวยิงชาวเซเนกัล มากๆ และน่าเสียดายที่ความไว้วางใจของ กุนซือหน้าเปื้อนยิ้ม จะเปลี่ยนเป็นความผิดหวัง เนื่องจากความเร็ว, ความคล่องแคล่วว่องไว และความเฉียบคมของ มาเน่ ไม่มีโผล่มาให้เห็นมากนักในเกมนี้
หากจะหาข้ออ้างที่ มาเน่ ฟอร์มไม่มาก็คงต้องมองไปที่ "หงส์แดง" ไม่มี โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ซึ่งมีปัญหาบาดเจ็บทำให้ร่างกายไม่ฟิตสมบูรณ์ลงเล่นตั้งแต่ต้นเกม และนั่นส่งผลให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กับ มาเน่ ต้องแบกรับหน้าที่ยิงประตูจนสุดท้ายเล่นไม่ออก และไม่สามารถช่วยอะไรทีมได้มากนัก
ฉะนั้นในเกมรับมือ บาร์ซ่า แน่นอนว่าแฟนบอล "เดอะ เร้ดส์" คงต่างก็คาดหวังอยากให้ ฟีร์มีโน่ ฟิตสมบูรณ์ เพราะถ้าได้ ดาวเตะชาวบราซิเลียน กลับมาเชื่อมเกมแดนกลางอีกครั้ง งานนี้ "หงส์แดง" กอปรกับ มาเน่ ฟอร์มโหดเหมือนเดิม งานนี้มีลุ้นที่ ลิเวอร์พูล จะเปิดแผล "เจ้าบุญทุ่ม" ได้เช่นกัน
3. ระบบการเล่นและแท็กติคผิดพลาด
คล็อปป์ ตัดสินใจใช้ระบบ 4-3-1-2 แทนที่จะใช้แผนที่คุ้นเคย 4-3-3 ในเกมเยือน บาร์เซโลน่า เมื่อวันพุธที่ผ่านมา นั่นเป็นวิธีการที่ไม่เวิร์กเอาซะเลย การจับ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม ไปเล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวรุกโดยมีบทบาทอยู่ด้านหลัง ซาลาห์ กับ มาเน่ แต่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เลย
จริงๆ แล้วเกมนี้ต่อให้ ฟีร์มีโน่ ฟิตไม่พอลงสนามตลอด 90 นาทีก็ตาม แต่ กุนซือเลือดด๊อยท์ช น่าจะเชื่อใจ ดิว็อค โอริก้า หรือ เซอร์ดาน ชากีรี่ เพื่อที่จะนำทั้งสองคนเล่นบทบาทแนวรุกตัวกลางในระบบ 4-3-3 ฉะนั้นการที่ คล็อปป์ เลือกใช้งาน ไวจ์นัลดุม ถือว่าเป็นความผิดพลาดมหันต์ และก็ได้ผลตอบแทนที่แสนเจ็บปวด
อีกจุดที่ทำให้ คล็อปป์ โดนตำหนิอย่างหนักก็คือการที่เขาส่ง ฟีร์มีโน่ ลงสนามในนาทีที่ 79 ถือว่าช้าเกินไป เพราะหากมองในช่วงก่อนหน้านี้ "หงส์แดง" สามารถกดดันเจ้าถิ่นได้ดีมากๆ และถ้า หัวหอกฟันขาว ถูกเปลี่ยนตัวลงมาเร็วกว่านี้ ไม่แน่ผลการแข่งขันอาจจะแตกต่างออกไป
อาจจะมีข้อแก้ตัวว่า คล็อปป์ ไม่เลือกใช้ระบบที่ถนัดเพราะการบุกไปคัมป์ นู หากเปิดเกมรุกเต็มตัวมีสิทธิ์ที่จะพังพินาศยิ่งกว่านี้ แต่เมื่อมองย้อนไปดูรูปเกมจะเห็นได้ว่า ลิเวอร์พูล สู้กับ บาร์ซ่า ได้ดีเยี่ยม เพียงแค่พวกเขาขาดประตูเท่านั้น ดังนั้นหาก "หงส์แดง" เปิดเกมรุกเต็มสูบ ไม่แน่ว่าทีมอาจจะกลับอังกฤษพร้อมกับ "อเวย์โกล" ก็ได้
4. ทำไมเลือก โกเมซ แทนที่ เทรนต์
เชื่อว่าแฟนบอล "เดอะ เร้ดส์" คงไม่ปลื้มอีกจุดก็คือตำแหน่งแบ็กขวา เพราะจริงๆ แล้ว เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กำลังอยู่ในฟอร์มเข้าฟัก โดยจัดการแอสซิสต์ไปแล้ว 9 ครั้งในเกมลีกเมืองผู้ดี แถมยังมีทีเด็ดจากลูกเปิดริมเส้น และลูกฟรีคิก
แต่กลายเป็นว่า "เจ้าหนูเทรนต์" โดนดร็อปเป็นตัวสำรอง โดย คล็อปป์ เลือกใช้งาน โจ โกเมซ ซึ่งเพิ่งหายเจ็บกลับมาได้ไม่นาน แม้ว่าเกมนี้ แข้งดาวรุ่งสารพัดประโยชน์ ไม่ได้ทำอะไรเสียหายมากนัก แต่การเติมเกมบุกของเขายังขาดประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับเทรนต์ ที่สำคัญสภาพความฟิตของเขาก็ยังไม่เต็มสูบด้วย
นอกจากนี้การเปิดบอลทางริมเส้น และการเล่นลูกตั้งเตะ รวมทั้งจังหวะฟรีคิก โกเมซ ไม่สามารถทำได้เหมือนกับ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ขณะที่เกมรับก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากนัก ฉะนั้นในเลก 2 การใช้งาน "เจ้าหนูเทรนต์" ลงเป็นตัวจริงแม้จะเสี่ยงแต่ก็อาจจะได้ผลที่คุ้มค่า